ทุกคนอยากมีความรักที่สุขสมหวัง ครองคู่กันยาวนาน กันทั้งนั้น ไม่ใช่คบกันไม่เท่าไหร่ก็แยกย้าย ก็เลิกกันไป และที่มันแย่ก็คือทุกครั้งที่เลิกรา มันมักทิ้งบาดแผลในใจ ไว้ให้กับทั้งสองฝ่าย
และแน่นอนว่าความรักนั้น ควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเองและคนที่เรารักมีความสุขด้วยส่วนใหญ่ที่คนเรามีปัญหา อาจเพราะเรารักเขา แต่เขาไม่รักเราจึงไปทำให้เขาหรือตัวเราเป็นทุกข์ ซึ่งทางจิตวิทย ามองว่า
ความรักที่ดีต่อสุขภาพ หรือถูกสุขภาพจิตนั้น ควรเริ่มจากการรู้จักรักตัวเองเสียก่อน“หลายคนมักจะมองว่า การรักตัวเอง คือ การเห็นแก่ตัว หลงตัวเองไม่สนใจคนอื่น แท้จริงแล้วหากรู้จักรักตัวเองอย่ างพอเพียง
จะเห็นถึงคุณค่าของตัวเอง ความรู้สึกโหยหาความรักจากผู้อื่นก็จะมีอิทธิพลน้อยลง”อีกประเด็นที่มักพบเห็นอยู่บ่อยครั้งคือ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความรักต้องเกาะติดอยู่ไม่ได้ถ้าขาดอีกคน เป็นเหมือนความรักสไตล์คลาสสิกทั้งหลาย
เช่น โรมิโอ&จูเลียต หรือสะพานรักสารสิน ที่หากไม่มีเธอ ฉันต้องขาดใจถือว่าเป็นความรักที่ไม่ดีต่อสุขภาพเพราะหากอีกฝ่ายไม่ยั่งยืนหรือแม้ไม่คิดจะทอดทิ้งแต่ต้องจากไปด้วยกาลเวลา แล้วจะทำอย่ างไร
นอกจากนี้หากมองในแง่ที่ว่า คนเราเมื่อรักกันได้ก็ย่อมเบื่อหน่ายจืดจางได้เช่นกัน หรือกระทั่งย ามที่อีกฝ่ายจำเป็นต้องไปทำงานไปทำภารกิจส่วนตัวจนต้องห่างกันสักระยะ ถ้าอีกคนไม่สามารถอยู่คนเดียวได้เพราะหวังให้อีกคนเป็นผู้ให้ความสุขทั้งหมด ย่อมจะต้องทุกข์เป็นประจำ
ส่วนคนที่ถูกพึ่งพิงเกาะติดก็จะรู้สึกอึดอัด เบื่อหน่ายหากต่างฝ่ายรู้จักสร้างความสุขด้วยตัวเองได้ด้วยเช่น ทำงานอดิเรก คบเพื่อน ก็จะช่วยให้สัมพันธภาพดีขึ้นแต่ก่อนที่ทุกข์อันเกิดจากความรักจะรุมเร้า
วันนี้เรามี 9 วิธี “รัก” อย่ างไร ไม่เป็นทุกข์ มาฝากค่ะ
1. ควรมีความสุขได้ด้วยตัวเอง คนอื่นเป็นเพียงโบนัสที่เพิ่มเข้ามา
2. ควรปรารถนาให้ผู้อื่นเกิดสุขด้วย ไม่ใช่คิดถึงแต่ความสุขของเราเช่น เมื่อคนที่เรารักไม่รักเรา แต่เขามีความสุขของเขา แม้เราจะเศร้าก็ยังคิดได้ว่าอย่ างน้อยก็ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข
3. ลดความคาดหวัง แม้เราจะเป็นปุถุชนซึ่งคงตัดความคาดหวังไม่ได้แต่ถ้าเรายิ่งคาดหวังจากอีกฝ่ายน้อย โอกาสที่เราจะสมหวังก็ยิ่งมากขึ้น
4. ยอมรับความแตกต่าง ทั้งด้านสรีระและความคิดของผู้อื่นความคิดไม่ตรงกันนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมชาติหากฝ่ายหนึ่งไม่พย าย ามทำให้อีกฝ่ายคิดเหมือนกันและพย าย ามเข้าใจว่าเหตุใดจึงคิดต่างกัน ปัญหาก็จะไม่เกิดหากเข้าใจและยอมรับได้แล้ว เมื่อเห็นเขาทำตัวไม่ถูกใจไม่น่ารัก ขี้บ่น ใจร้อน เราก็จะปรับตัวให้เข้ากับเขาและมอบความรักให้ได้ง่ายขึ้น
5. รู้จักยอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ความรักจึงจะยืนย าวเพราะความเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาของโลก เพลงโปรด ฟังซ้ำอาหารจานประจำ กินบ่อยก็เบื่อ ความรักที่เคยจี๋จ๋าหวานแหวว อาจจืดจางลงแต่ยังคงความผูกพันและสัมพันธ์อันดี หรือแม้จะเลิกราร้างห่าง บางคู่ก็ยังเป็นเพื่อนรู้ใจต่อกันได้
6. ไม่ควรทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ หรือสิ่งที่ตนคิดว่าดีให้คนอื่นเพียงอย่ างเดียวจะต้องมองถึงความต้องการของเขาด้วย จะได้ไม่ต้องมาน้อยใจว่าเราอุตสาห์หวังดียอมเหน็ดเหนื่อยทำเพื่อเขา แต่เขากลับไม่เห็นคุณค่า
7. ความเกรงใจ เป็นองค์ประกอบสำคัญ ควรเอาใจเขามาใส่ใจเราเพราะคนใกล้ชิดสนิทกัน มักคิดว่าจะสามารถทำอะไรตามใจตัวได้แทบทุกเรื่องจนลืมนึกถึงความรู้สึกของอีกคนไป
8. พูดจาชื่นชมในสิ่งดีของกันและกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีมอบความรักที่ควรทำบางคนละเลยว่าอยู่ด้วยกันมานาน เรื่องดีเขาคงรู้อยู่แล้วไม่ต้องชมจึงเอาแต่พูดถึงสิ่งไม่ดีหรืออย ากให้อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงเอาแต่บ่นโดยไม่เคยชม คนฟังก็ท้อใจเหมือนกัน
9. การแสดงออกของความรัก ถ้ารักแล้วไม่แสดงออกเลยอีกฝ่ายคงไม่รู้เพราะเขาไม่มีตาทิพย์แต่การแสดงความรู้สึกแค่ไหน อย่ างไรคงต้องดูว่าเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการด้วย ส่วนความต้องการของเราก็ควรบอกตรงๆ
ไม่ใช่คาดหวังให้คู่ของเราเป็นหมอดู คอยเดาใจ และถ้าจะรักให้ดีต่อสุขภาพจิตทุกคนควรคิดให้ความรักเป็นดอกไม้สวยงาม เป็นของหวานสำหรับชีวิตอย่ ายึดติดว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่ าง อย่ าคิดว่า “รัก” เป็นข้าวปลาอาหารหรืออากาศที่ขาดไม่ได้
“อย ากให้คนที่มีทุกข์เพราะรักคิดด้วยว่า ก่อนที่จะมาเจอคนรักยังมีพ่อแม่พี่น้องเพื่อนพ้อง และคนอื่นอีกมากมายที่เรารักและรักเราอย่ าให้คนเพียงคนเดียวเป็นทุกสิ่งทุกอย่ าง แล้วปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ตามข่าว
เช่น เมื่ออีกฝ่ายขอเลิก ก็มีการบุกไปยิงหรือ ทำ ร้ า ย ร่างกายกระทั่ง ป ลิ ด ชี พ ตน กลายเป็น โ ศ ก น า ฏ ก ร ร มแสนเศร้าของคนที่อยู่ข้างหลัง”สรุปการจะรักใคร ควรรักอย่ างมีสติ ไม่ทุ่มเทจนหมดตัว และควรเผื่อใจให้กับตัวเอง
ครอบครัว และเพื่อน เพราะหากเกิดพลาดพลั้งครอบครัวและคนใกล้ชิดมีส่วนสำคัญที่จะเยียวย าหรือเตือนสติไม่ให้ผู้ผิดหวังในความรักกระทำเรื่องที่จะเสียใจในอนาคตได้ “เท่านี้คุณก็มีความรักที่ดีต่อสุขภาพได้แล้วค่ะ”
ที่มา : pantip
ขอขอบคุณที่มาจาก : https://smileroyyim.com/?p=3954