ไม่เคยรู้มาก่อน ตะขบ ผลไม้บ้านๆ แต่ประโยชน์มหาศาล สรรพคุณดีเกินคาด
ผลตะขบหรือเรียกกันว่าตะขบ มีลักษณะผลเป็นลูกทรงกลมมีผลขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.75-1.5 เซนติเมตร มีเปลือกที่บาง ผลอ่อนจะมีสีเขียว ส่วนผลสุกจะมีสีแดง เมื่อสุกแล้วจะมีรสหวาน ซึ่งภายในผลจะมีเมล็ดแบนขนาดเล็กจำนวนมากมาย แต่ตะขบบางคนมักมองว่าเป็นพืชกินได้ที่มีอยู่ตามบ้านนอก จึงมักมองข้ามกันอย่างมาก แต่คุณรู้หรือไม่ว่าตะขบนี่แหละ มีสรรพคุณที่คุณไม่เคยรู้มาก่อนและเมื่อคุณรู้แล้วคุณจะต้องอึ้งแน่นอน ประโยชน์ทั่วไปของตะขบ
ผลสุกจะมีรสหวานและมีกลิ่นที่หอมเย็นนำมารับประทานได้ เป็นผลไม้ที่เด็กๆชื่นชอบ
ในตะขบจะอุดมไปด้วยพลังงาน อีกทั้งยังมีเส้นใย มีแคลเซียมโพ แทสเซียม และโซเดียมเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการวิจัยจะพบได้ว่าตะขบสามารถดูดซับคอเลสเตอรอลได้ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายที่น่ากลัวและยังช่วยลดความเสี่ยงของเส้นโลหิตในสมองแตกได้ดี
ผลตะขบนอกจากจะเป็นผลไม้ที่เด็กๆชื่นชอบแล้วยังเป็นอาหารของนกและสัตว์อื่นๆด้วย แต่ถ้าหากปลูกไว้ริมแม่น้ำริมคลองข้างบ้านก็ยังเป็นอาหารปลาได้เช่นกัน
ผลตะขบเป็นไม้ที่นิยมกันมากในแม็กซิโก จึงสามารถนำมาแปรรูปเป็นไวน์หรือแยมได้ และสามารถนำใบไปแปรรูปเป็นชาเพื่อนำมาชงน้ำดื่มได้ด้วยเช่นกัน
เนื้อไม้ของต้นตะขบเป็นเนื้อไม้ที่อ่อนจึงสามารถนำมาทำเป็นงานช่างไม้ได้ดี
ใช้ปลูกเพื่อประดับความสวยงามในบ้านเรือนได้หรือปลูกเพื่อร่มเงาตามทางเดินก็ได้เช่นกัน
สรรพทางยาของตะขบ
ผลสุกจะมีรสหวานเย็นหอม มีสรรพคุณทางยาช่วยในการบำรุงกำลังทำให้หัวใจชุ่มชื่น
ดอกตะขบมีสรรพคุณเป็นยาแก้ปวดศีรษะ ด้วยการนำดอกไปตากแห้ง จากนั้นก็ใช้ดอกที่ตากแห้งแล้วประมาณ 3-5 กรัม นำมาชงน้ำดื่ม บ้างก็อาจใช้เนื้อไม้ในการช่วยแก้อาการปวดศีรษะ
ใช้เป็นยาแก้หวัด แก้ลดไข้ด้วยการใช้ดอกแห้งมาชงดื่ม
ใบตะขบจะมีรสฝาดเอียน มีสรรพคุณช่วยขับเหงื่อ
รากตะขบจะมีสรรพคุณทางยาคือสามารถเป็นยาแก้เสมหะได้
ช่วยแก้อาการปวดเกร็งในระบบทางเดินอาหาร ด้วยการนำดอกตะขบตากแห้งปริมาณ 3-5 กรัม นำมาชงกับน้ำเพื่อดื่ม
เนื้อไม้จะมีสรรพคุณแก้อาการท้องร่วง บิดมูกโลหิต
ต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาระบาย เนื่องจากในต้นจะมีสาร mucilage จำนวนมาก หรืออาจจะใช้ต้นสดหรือแห้งก็ได้ประมาณ 1ฝ่ามือนำมาสับต้มน้ำ 1 ลิตร เวลานาน 15 นาทีจากนั้นก็นำมากรอง นำน้ำที่ได้มาดื่ม
ช่วยเป็นยาระบาย
เนื้อไม้จะใช้เป็นยาขับไส้เดือนได้
ตะขบสามารถใช้เป็นยาแก้ตาลขโมยได้ด้วย
ที่มาจาก https://www.siamnews.com/view-21443.html
ขอขอบคุณที่มาจาก : http://www.healthy108toyou.com/2018/10/blog-post_12.html