ใครว่าการเลิกรา ทำให้ชีวิตแย่เสมอไป บางครั้งมันทำให้มีความสุขมากกว่าเดิมอีก เป็นอีกหนึ่งบทความที่มีรุ่นน้องถามไถ่ว่า “แปลกไหมที่เลิกกับแฟนแล้วไม่รู้สึกเศร้ากลับรู้สึกสันติและได้เวลาส่วนตัวคืนกลับมา”
ผมถามกลับไปว่า“แปลว่าเขาไม่สำคัญเหรอ”น้องตอบว่า“เขาสำคัญมากแต่รู้สึกว่าต้องปรับตัวเยอะต้องยอมให้เยอะพอห่างออกมากลับรู้สึกดี”ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจและคำที่น่าสนใจมากคือคำว่า“สันติ”
ผมเคยคิดว่าคนเราต้องการ“ความสุข”และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไขว่คว้าให้ได้มาแต่ช่วงหลังมานี้พอลองถามตัวเองให้ลึกลงไปสิ่งที่ต้องการอาจไม่ใช่“ความสุข”(happineรร)แต่น่าจะเป็น“ความสงบ”(peaceอfmind)ซึ่งบางครั้งสองสิ่งนี้สวนทางกัน,ยิ่งอยากได้ความสุขหรืออยากเก็บรักษาความสุขไว้เรากลับกระวนกระวายใจ
โลกนี้มีมายาคติมากมายที่พูดซ้ำจนเราเชื่อว่ามันเป็นความจริง“ความสัมพันธ์ที่ไม่เลิกรา”ก็เป็นสิ่งหนึ่งในจำนวนเรื่องเหล่านั้นหรือความเชื่อว่า“การเลิกกันคือเรื่องแย่”ก็อาจลวงให้ทั้งสองฝ่ายพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ที่ไม่ส่งผลดีต่อทั้งคู่ไปเรื่อยเราอาจเชื่อว่าความสุขคือการอยู่ด้วยกันแน่นอนว่าถ้าทุกอย่างราบรื่นคำกล่าวนี้ย่อมเป็นจริงแน่แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นคำกล่าวนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นสัจธรรมสำหรับทุกคน
เพราะยิ่งพยายามประคับประคอง“ความสุข”ไว้สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือภาวะขาดสันติสุขในจิตใจ
และทันทีที่ปล่อยวางจากความเชื่อว่าจะต้องเก็บรักษา“ความสุข”ในแบบที่ผู้คนเขาบอกกันทันใดนั้นเรากลับพบว่าหัวใจของเรานิ่งสงบมากขึ้นเพราะไม่เอาใจไปผูกไว้กับ“แบบ”ที่เขาบอกกันว่าดีแต่มันไม่ดีสำหรับเรา
การเลิกราหรือหย่าร้างหากเลือกกระทำในช่วงเวลาและเหตุปัจจัยที่มีเหตุมีผลตอบตัวเองได้เป็นไปได้ว่ากลับทำให้เรามีความสุขมากกว่าการจมอยู่กับการพยายามแก้ปัญหาไม่รู้จบ
“ความสุข”ที่ว่านั้นจึงเหมือนมีเรื่องที่ซ้อนกันอยู่นั่นคือความสุขที่เราสัมผัสได้จากหัวใจตัวเองกับความสุขที่เกิดจากค่านิยมหรือความคาดหวังจากคนอื่นที่มองว่าการเลิกราเป็นเรื่องน่าเสียดายน่าเสียใจน่าสงสารและหลายกรณีที่เราพยายามรักษา“ความสุข”ที่คนอื่นขีดเส้นให้โดยหลงลืมความสุขในหัวใจตัวเองไป
เมื่อคิดใคร่ครวญเรื่องนี้ผมพบว่าการเลิกราเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของ“ค่านิยมเรื่องความสุข”ที่เรามักเชื่อว่าถ้าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้แล้วจะมีความสุขกว่าเช่นความรวยความสำเร็จรูปลักษณ์ที่ดีชื่อเสียงตำแหน่งฯลฯแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบของ“ชีวิตที่ดี”แต่ก็ไม่เสมอไปถ้ามันเริ่มล้นเกินหรือทะเยอทะยานจนไฟจะเผาไหม้หัวใจ
ผมไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรปรารถนาสิ่งเหล่านั้นเพียงอยากชวนตั้งคำถามว่าที่เราอยากได้อยากมีนั้นเพราะหัวใจเรามีความสุขเมื่อมีสิ่งเหล่านั้นหรือเพราะคนอื่นเขาเชื่อว่าถ้าเรามีสิ่งเหล่านั้นแล้วเราจะมีความสุขเราอยากมีความสุขหรือเราอยากให้คนอื่นมองว่าเรามีความสุข
สองสิ่งนี้คล้ายกันแต่ต่างกันเหลือเกิน
คำถามที่น่าถามตัวเองลงไปลึกในหัวใจก็คือ“ความสุข”ที่เราเฝ้ามองและไขว่คว้าหรือพยายามรักษาไว้ไม่ว่าจะเป็นความฝันความสำเร็จการงานหรือความรักถึงที่สุดแล้วมันนำมาซึ่ง“ความสงบในจิตใจ”หรือเปล่าถ้าคำตอบคือ“ไม่”
ผมคิดว่าวันหนึ่งเราจะพบคำตอบใหม่ให้กับตัวเองว่าฉันจะลองปล่อยมือจาก“ความสุข”ดูบ้างก็ได้เพื่อพบสิ่งที่สำคัญกว่านั้นนั่นคือ“ความสงบในจิตใจ”บางครั้งเราจำเป็นต้องปล่อยมือจากสิ่งที่เราเชื่อว่านั่นคือ“ความสุข”เพื่อพบกับ“สันติ”ในหัวใจและนั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากคำถามของรุ่นน้องผู้นี้ว่า…
“การเลิกราไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าหากมันทำให้เราพบหัวใจที่สงบกว่าเดิม”
ที่มา ยิ้มละมุน